เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ในการเปิดตัวรายงาน “ตามติดเศรษฐกิจไทย” (Thailand Economic) ฉบับใหม่ ภายใต้หัวข้อ Restoring Incomes : Recovering Jobs นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารโลก กล่าวว่า ข้อเสนอแนะในระยะสั้น รัฐบาลควรเข้าไปดูแลเร่งด่วนกับกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงช่วยเหลือทางการเงิน ในช่วงที่แรงงานยังไม่สามารถกลับสู่ตลาดแรงงาน รวมไปถึงควรจัดให้มีการเพิ่มทักษะแรงงาน เพื่อสร้างความรู้ใหม่ๆให้กับแรงงานในการใช้ประกอบอาชีพในอนาคตเพิ่มขึ้น
ขณะที่ระยะยาวรัฐบาลควรเพิ่มผลิตภาพประเทศ ทำให้สังคมไทยสามารถเข้าสู่สังคมสูงอายุได้อย่างมีคุณภาพ ทั้งการเพิ่มทักษะให้กลุ่มคน ขยายระยะเวลาการทำงานของกลุ่มผู้สูงอายุให้ยาวนานขึ้น รวมถึงเพิ่มให้สตรีเข้ามามีบทบาทในแรงงานมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างของแรงงานลง
ทั้งนี้หากดูการออกมาตรการด้านการเงิน และการคลังของไทยที่ผ่านมา ถือว่าอยู่ระดับสูงที่ระดับ 13% ของจีดีพี ซึ่งสูงหากเทียบกับหลายประเทศ โดยเฉพาะจากการคลังที่มีการใช้เม็ดเงินในการเยียวยา กระตุ้นเศรษฐกิจถึง 6% จากผลกระทบโควิด-19 ที่ผ่านมา ดังนั้นในระยะข้างหน้า มองว่าภาคการคลังยังมีีพื้นที่เพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เพิ่มเติมได้
“ที่ผ่านมา เรามองว่าภาคการคลังมีการใช้นโยบายการควบคุม การเยียวยาได้ระดับที่ดี ซึ่งหากรวมด้านการเงินด้วยสูงถึง 13% และการทำนโยบายการคลังก็สามารถรักษาเสถียรภาพด้านการคลังได้ค่อนข้างดี อยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่หากดูงบประมาณที่อนุมัติปัจจุบันถือว่ายังเบิกจ่ายไม่สูงมาก และมีความเสี่ยงที่จะเบิกจ่ายต่ำเป้า ดังนั้นการที่เศรษฐกิจซบเซาเป็นเวลานาน เป็นไปได้ว่าการใช้วงเงินอาจจะล้าช้า ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาด ดังนั้นการใช้เครื่องมือทางการคลัง ถือว่าอยู่ในภาวะที่ท้าทาย”
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจในไตรมาสแรก ปีนี้คาดว่าผลกระทบจากโควิด-19 ไม่ได้รุนแรงเท่ากับสถานการณ์โควิด-19 รอบแรก ซึ่งภาครัฐน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ดี ทำให้ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจไม่ได้มาก แต่ยอมรับว่าจากผลกระทบโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความท้าทายและมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น