Saturday, November 15, 2025

รัสเซียเตรียมนำเข้าแรงงานเกาหลีเหนือ 1.2 หมื่นคน เร่งผลิตโดรนโจมตี

หน่วยข่าวกรองกลาโหมของยูเครนรายงานว่า รัสเซียกำลังเตรียมนำเข้าคนงานจากเกาหลีเหนือมากถึง 12,000 คน เพื่อมาทำงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษอะลาบูกา (Alabuga Special Economic Zone) ในสาธารณรัฐตาตาร์สถาน (Tatarstan) ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ถึงการเสริมสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างรัฐบาลมอสโกและเปียงยาง ท่ามกลางการโดดเดี่ยวจากนานาชาติ

เขตเศรษฐกิจอะลาบูกาเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะฐานการผลิตโดรนโจมตีระยะไกลชนิด Shahed/Geran ที่กองทัพรัสเซียมักใช้ในการก่อการร้ายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนทั่วยูเครน การนำเข้าแรงงานจำนวนมากในครั้งนี้คาดว่าจะช่วยขยายขีดความสามารถในการผลิต เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการโจมตีด้วยโดรนของรัสเซียต่อไป

ปลายเดือนตุลาคม 2025 ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ภูมิภาคกับตัวแทนของ บริษัท Jihyang Technology Trade จากเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาแรงงานเกาหลีเหนือในต่างประเทศ โดยถูกกล่าวหาจากองค์กรสิทธิมนุษยชนว่าแรงงานเหล่านี้มักทำงานภายใต้เงื่อนไขการใช้แรงงานที่แสวงหาผลประโยชน์อย่างมาก

รายงานระบุว่า รัสเซียเสนอค่าจ้างให้คนงานจากเกาหลีเหนือที่ประมาณ 2.5 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง โดยคาดว่ากะการทำงานจะยาวนานถึงอย่างน้อย 12 ชั่วโมง การพึ่งพาแรงงานนำเข้าเพื่อขยายการผลิตอาวุธแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างยิ่งยวดของรัสเซียในการสรรหากำลังคนเพื่อรักษาและยกระดับความสามารถในการผลิตอาวุธ เนื่องจากอุตสาหกรรมในประเทศประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยความต้องการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการทำสงครามโจมตีระยะไกลต่อเมืองต่าง ๆ ของยูเครน

ที่มา: Ukrainian Defense Review, 15/11/2025 

Friday, November 14, 2025

พนักงาน Starbucks ทั่วสหรัฐฯ หยุดงานประท้วง เรียกร้องสัญญาจ้างที่เป็นธรรม

พนักงานของ Starbucks เครือข่ายร้านกาแฟยักษ์ใหญ่ทั่วสหรัฐฯ ที่รวมตัวกันเป็นสหภาพแรงงาน ได้นัดหยุดงานประท้วงครั้งใหญ่เพื่อกดดันให้บริษัทบรรลุข้อตกลงร่วมฉบับแรก โดยการประท้วงครั้งนี้ถูกเรียกว่า "การจลาจลถ้วยสีแดง" (Red Cup rebellion) เนื่องจากตรงกับวันโปรโมชั่นประจำปีที่บริษัทแจกถ้วยกาแฟฟรี (Red Cup Day) ซึ่งสหภาพฯ ระบุว่ามีร้านค้ากว่า 65 แห่ง ใน 40 เมืองทั่วประเทศเข้าร่วมการหยุดงาน โดยไม่มีกำหนดสิ้นสุดที่ชัดเจน

สหภาพแรงงาน Starbucks Workers United ซึ่งเป็นตัวแทนของคนงานกว่า 9,500 คน ใน 550 สาขา ได้เรียกร้องให้บริษัทปรับปรุงค่าจ้าง, เพิ่มจำนวนพนักงานให้เพียงพอ, และแก้ไขข้อพิพาทด้านแรงงานที่เกิดขึ้น โดยกล่าวหาว่าบริษัทปฏิเสธที่จะเจรจาสัญญาที่เป็นธรรมและยังคงมีพฤติกรรม ขัดขวางการรวมตัวของสหภาพฯ หากบริษัทยังคงเพิกเฉย การดำเนินงานและผลกำไรของบริษัทจะหยุดชะงักอย่างแน่นอน

ในทางกลับกัน บริษัทได้ออกมาระบุว่า การหยุดงานมี "ผลกระทบน้อยที่สุด" ต่อร้านค้าทั้งหมดกว่า 17,000 แห่งทั่วสหรัฐฯ โดยมีร้านค้าได้รับผลกระทบไม่ถึงร้อยละ 1 และยืนยันว่าบริษัทเสนอสวัสดิการและค่าจ้างที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม โดยมีมูลค่าเทียบเท่า 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง แต่ทางสหภาพฯ โต้แย้งว่าคนงานจำนวนมากไม่ได้รับชั่วโมงทำงานที่เพียงพอที่จะได้รับสวัสดิการเหล่านั้น และชี้ให้เห็นว่าคนงานยังคงประสบปัญหาในการหาเลี้ยงชีพด้วยค่าจ้างเริ่มต้นที่ 15.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง

การเจรจาสัญญาระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นตั้งแต่เดือนเมษายน 2024 แต่ได้หยุดชะงักลงในเดือนธันวาคม 2024 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายแรงงานชี้ว่า การเจรจาที่เป็นอุปสรรคนี้ตอกย้ำถึง จุดอ่อนของกฎหมายแรงงานของรัฐบาลกลาง ในการนำนายจ้างเข้าสู่โต๊ะเจรจาอย่างแท้จริง การหยุดงานครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามของสหภาพฯ ในรอบปีที่ผ่านมา และมีความตั้งใจที่จะหยุดการดำเนินงานและผลกำไรของบริษัท จนกว่าจะได้รับสัญญาที่เป็นธรรม

ที่มา: CBS News, 13/11/2025 

Thursday, November 13, 2025

แรงงานอุตสาหกรรมผลิตเครื่องบินอังกฤษนัดหยุดงาน ประท้วงค่าจ้างต่ำกว่าเงินเฟ้อ แม้บริษัทกำไรมหาศาล

คนทำงานอุตสาหกรรมผลิตเครื่องบินหลายพันคนทั่วสหราชอาณาจักรได้เริ่มนัดหยุดงานประท้วงต่อต้านบริษัท Leonardo ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านกลาโหม เนื่องจากบริษัทเสนอขึ้นค่าจ้างเพียงร้อยละ 3.6 ซึ่งสหภาพแรงงาน Unite ระบุว่าเป็นการ ลดค่าจ้างที่แท้จริง อย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและการทำกำไรหลายร้อยล้านปอนด์อย่างต่อเนื่องของบริษัท

การดำเนินการทางอุตสาหกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่คนงานปฏิเสธข้อเสนอขึ้นค่าจ้างดังกล่าวถึงสองครั้ง โดยการประท้วงเกิดขึ้นพร้อมกันหลายแห่งทั้งใน สกอตแลนด์และอังกฤษ โดยมีแนวรั้วประท้วงปรากฏขึ้นที่ทางเข้าโรงงานหลายแห่ง เช่น ในเมืองเอดินบะระ ซึ่งคนงานได้รับเสียงตอบรับสนับสนุนจากยานพาหนะที่ผ่านไปมา และประสบความสำเร็จในการเรียกร้องให้รถขนส่งสินค้าหันกลับไป เพื่อไม่ให้ข้ามแนวรั้วประท้วง

เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานประจำภูมิภาคกล่าวว่า นี่เป็นการหยุดงานประท้วงครั้งแรกของบริษัทในรอบ 35 ปี และยืนยันว่าการผลิตที่โรงงานได้หยุดชะงักลงโดยสิ้นเชิง การถูกบังคับให้ดำเนินการขั้นรุนแรงเช่นนี้เป็นเรื่องยากสำหรับสมาชิก แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เว้นแต่บริษัทจะยื่นข้อเสนอที่ยุติธรรมและไม่ถือเป็นการตัดลดค่าจ้างที่แท้จริง สหภาพแรงงานเปิดกว้างที่จะพูดคุยกับบริษัท "ได้ตลอดเวลา" และพร้อมที่จะนำเสนอข้อเสนอที่ได้รับการปรับปรุงใด ๆ ต่อสมาชิกของตน โดยหวังว่าการหยุดงานจะทำให้ฝ่ายบริหารตระหนักถึงคุณค่าของพนักงานในฐานะสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของบริษัท

การนัดหยุดงานจะมีขึ้นที่โรงงานของบริษัทในหลายพื้นที่ตลอดเดือนพฤศจิกายน เพื่อเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารกลับมาที่โต๊ะเจรจาและตอบสนองความต้องการของคนงานอย่างเหมาะสม

ที่มา: Independent, 12/11/2025 

รัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดาห้ามนายจ้างเรียกใบรับรองแพทย์สำหรับการลาป่วยระยะสั้น

รัฐบริติชโคลัมเบีย (British Columbia) ของแคนาดาได้ออกกฎระเบียบมาตรฐานการจ้างงานฉบับใหม่ทันที โดยจำกัดสิทธิ์นายจ้างในการขอ ใบรับรองแพทย์ (Sick notes) สำหรับการลาป่วยหรือบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพในระยะสั้นของคนงาน การเปลี่ยนแปลงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระด้านเอกสารที่ไม่จำเป็น และเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพมีเวลาดูแลผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือได้มากขึ้น

ภายใต้กฎระเบียบใหม่ นายจ้างไม่สามารถเรียกขอใบรับรองแพทย์สำหรับ การหยุดงานสองครั้งแรก ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งมีระยะเวลา ไม่เกินห้าวันติดต่อกัน ในปีปฏิทินนั้น ๆ รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานของรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดากล่าวว่า เมื่อคนงานป่วยเป็นไข้หรือมีอาการหวัด สิ่งสุดท้ายที่ควรทำคือต้องไปพบแพทย์เพื่อขอใบรับรองการป่วย ซึ่งการนัดหมายที่ไม่จำเป็นดังกล่าวเป็นการเอาเวลาของแพทย์และพยาบาลไปจากผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการดูแล ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อโรคด้วย

การเปลี่ยนแปลงนี้อ้างอิงจากข้อมูลของผู้ให้บริการด้านสุขภาพและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยส่วนใหญ่ เช่น ไข้หวัดใหญ่ มักจะหายได้เองภายในห้าวัน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกล่าวเสริมว่า กฎใหม่นี้จะช่วยให้คนงานสามารถพักฟื้นที่บ้านได้โดยไม่ต้องมีความเครียดเพิ่มเติมจากการหาใบรับรองแพทย์ และช่วยลดภาระด้านธุรการที่ไม่จำเป็นของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การดูแลผู้ป่วยได้เต็มที่

กฎระเบียบนี้กำหนดเป็นมาตรฐานขั้นต่ำและใช้กับลูกจ้างทั้งหมดที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติมาตรฐานการจ้างงาน และถือเป็นหนึ่งในหลายขั้นตอนที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อลดภาระด้านธุรการในระบบสุขภาพ โดยมีการประมาณการว่าในปี 2024 แพทย์ในพื้นที่ได้ออกใบรับรองการป่วยที่ไม่จำเป็นไปแล้วประมาณ 1.6 ล้านฉบับ

ที่มา: Government of British Columbia, 12/11/2025 

Wednesday, November 12, 2025

App-Based Ride-Hailing Drivers Appeal to Government for Simplified Registration Requirements

Representatives of app-based ride-hailing drivers, led by Mr. Jiraphat Sophalai, submitted a petition to Prime Minister and Interior Minister Anutin Charnvirakul, proposing solutions to address issues arising from ministerial regulations concerning electronic vehicle registration for ride-hailing services. The petition was received by Mr. Chaichanok Chidchob, Minister of Digital Economy and Society (DES).

The driver representatives stated that regulations specified by the Ministry of Transport may contain obstacles related to complex and inflexible conditions and registration procedures. These impact app-based drivers, particularly those working part-time or with low income who are unable to register, thereby affecting their ability to earn an income.

According to the representatives, the registration process does not permit the use of personal vehicles, resulting in hire-purchase contract costs and high insurance premiums. They are requesting government assistance to ease these burdens by adjusting the document submission process to allow online filing, permitting the use of vehicle registration book copies for cars under finance agreements, and allowing the use of rental vehicles for app-based services.

Minister Chaichanok Chidchob accepted the documents and stated that he would discuss the matter with relevant parties.

เผย McDonald’s ฮ่องกงจ้างงานคนพิการเพื่อภาพลักษณ์ แต่ละเลยระบบดูแล-ฝึกอบรม

IUF Asia/Pacific ระบุว่า McDonald’s บริษัทฟาสต์ฟู้ดชื่อดังในฮ่องกงกำลังเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จากกรณีการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อ คนงานที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ซึ่งเป็นนโยบายการจ้างงานที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กรและมูลค่าแบรนด์ในสายตาสาธารณชน แต่กลับถูกรายงานว่ามีการทารุณกรรมและปฏิบัติอย่างไม่เหมาะสมต่อคนงานกลุ่มนี้ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงของบริษัทอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจ อารมณ์ และร่างกายของคนงานที่มีความบกพร่อง ความมั่นใจในตนเองที่ควรจะได้รับจากการมีงานทำกลับถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทล้มเหลวในหลายระดับ ซึ่งปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการไล่ผู้จัดการที่ขาดประสบการณ์และไม่ได้รับการฝึกอบรมเพียงไม่กี่คนออก หรือโยนความผิดให้ปัจเจกบุคคลเท่านั้น ทั้งยังเกิดขึ้นในขณะที่บริษัทได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสำหรับโครงการจ้างงานที่สังคมเชื่อว่าเป็นการช่วยเหลือคนพิการ

การจ้างงานคนพิการเป็นโอกาสอันดีที่ช่วยให้คนกลุ่มนี้มีรายได้ มีอิสรภาพทางการเงิน และพัฒนาทักษะความมั่นใจ แต่บริษัทไม่ควรเน้นเพียงแค่การสร้างภาพลักษณ์ หรือมองว่าเป็นเพียงกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลเท่านั้น บริษัทต้องมีความรับผิดชอบในการสร้างหลักประกันว่าคนงานจะได้รับประสบการณ์ที่ดี มีงานที่มั่นคงปลอดภัย ปราศจากการเลือกปฏิบัติและการคุกคาม

นอกจากนี้ ผู้จัดการ หัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงานทุกคนต้องได้รับการฝึกอบรมที่เหมาะสม ซึ่งไม่ใช่เพียงการประกาศนโยบายหรือการประชุมสั้น ๆ แต่ต้องเป็นการฝึกอบรมอย่างจริงจัง เช่น ทักษะการสื่อสารและการจัดการงานเมื่อทำงานร่วมกับคนงานที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม รวมถึงการมอบหมายงานต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของการจ้างงาน ไม่ใช่การมอบหมายงานใช้แรงงานที่ซ่อนเร้น เช่น การทำความสะอาดห้องน้ำในกะดึก เพื่อลดปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและเพื่อนร่วมงาน การดำเนินการดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าบริษัทมีเพียงนโยบายความหลากหลายในการจ้างงาน แต่ขาดระบบที่จะสร้างความหลากหลายในสถานที่ทำงานผ่านการยอมรับและความเคารพ การล้มเหลวในการจัดหาการฝึกอบรมที่เหมาะสม ถือเป็นความล้มเหลวเชิงสถาบันขั้นพื้นฐาน

ที่มา: IUF Asia/Pacific, 11/11/2025 

บริษัทท่องเที่ยวในฟินแลนด์ถูกกล่าวหาละเมิดสิทธิแรงงานต่างชาติ ตามรายงานสหภาพแรงงาน

บริษัทด้านการท่องเที่ยวในเขต แลปแลนด์ ทางตอนเหนือของฟินแลนด์หลายแห่ง ถูกสหภาพแรงงานและสมาคมธุรกิจโรงแรมและการบริการกล่าวหาว่า ละเมิดกฎหมายแรงงาน และมาตรฐานจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อ คนงานข้ามชาติแบบฤดูกาล ที่เข้ามาทำงานในช่วงฤดูหนาว แม้ว่าฤดูการท่องเที่ยวจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้น แต่กลุ่มแรงงานได้รับรายงานการละเมิดหลายสิบกรณี ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงคนงานจนเป็นการละเมิดข้อตกลงร่วม

สหภาพแรงงานบริการ United PAM และสมาคมธุรกิจโรงแรมและการบริการฟินแลนด์ (Finnish Hospitality Association - MaRa) ระบุว่า มีบริษัทจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภาคการท่องเที่ยวของแลปแลนด์ที่ไม่สนใจกฎหมายแรงงานและมาตรฐานจริยธรรมทั่วไป โดยมีการกล่าวหาว่า นายจ้างได้ บังคับคนงานอย่างผิดกฎหมาย ให้เข้าร่วมการฝึกอบรมที่ไม่มีค่าจ้างเป็นเวลาหลายสัปดาห์ และในบางกรณีถึงขั้น เรียกเก็บเงิน จากคนงานเหล่านั้นด้วย

ในภูมิภาคนี้มีบริษัทที่ให้บริการด้านการท่องเที่ยวนับร้อยแห่ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นสมาชิกขององค์กรนายจ้าง และไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมหรือกฎหมายแรงงานแต่อย่างใด ตัวแทนจากสมาคมธุรกิจกล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนว่าเหตุใดบริษัทที่เจตนาละเมิดกฎหมายเหล่านี้จึงไม่ต้องการเข้าร่วมกลุ่มนายจ้าง เพราะพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามทั้งข้อตกลงร่วม กฎหมาย หรือหลักจรรยาบรรณของสมาคม ส่งผลให้คนงานที่ต้องพึ่งพารายได้จากการทำงานตามฤดูกาลต้องเผชิญกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นธรรม

ที่มา: Business & Human Rights Resource Centre, 11/11/2025 


แรงงานต่างชาติในไต้หวันประท้วง ชี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนการแพทย์ละเมิดสิทธิ-ขัดขวางสหภาพแรงงาน

คนงานต่างชาติชาวฟิลิปปินส์ในบริษัท TaiDoc Technology Corporation ผู้ผลิตชิ้นส่วนทางการแพทย์รายใหญ่ในไทเปใหม่ กำลังรวมตัวประท้วงต่อต้านการดำเนินการ ขัดขวางการก่อตั้งสหภาพแรงงาน และการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงานข้ามชาติภายในบริษัท แรงงานเหล่านี้รวมตัวกันภายใต้สหภาพแรงงาน TaiDoc Technology Labor Union (TTLU) ซึ่งเป็นตัวอย่างที่หาได้ยากในไต้หวัน การประท้วงครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อต่อต้านการจำกัดเสรีภาพในการเดินทางขั้นพื้นฐาน โดยคนงานถูกบังคับให้ปฏิบัติตาม เคอร์ฟิว ต้องส่งรูปถ่ายตนเองขณะเช็กอินที่หอพัก และหากฝ่าฝืนแม้จะไปเยี่ยมครอบครัว ก็จะถูกลงโทษให้ทำความสะอาดเป็นเวลา 30 วัน พร้อมทั้งถูกข่มขู่ว่าจะ ยกเลิกสัญญาและส่งกลับประเทศ หากไม่ปฏิบัติตาม

เมื่อคนงานออกมาแสดงความคิดเห็น พวกเขาต้องเผชิญกับการถูกข่มขู่ในลักษณะเดียวกัน โดยผู้ที่สะสมจดหมายเตือนมากพอจะถูกเลิกจ้างทันที นอกจากนี้ คนงานยังคงถูกผูกมัดอยู่กับระบบนายหน้าจัดหางาน โดยต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหลายครั้งแม้จะไม่มีบริการใด ๆ ตอบแทน ทั้งยังพบว่า แรงงานต่างชาติที่ตั้งครรภ์ถูกส่งกลับประเทศทันที และมีการเรียกเก็บเงินมัดจำค่าจ้างหนึ่งเดือนสำหรับการลางาน

หลังจากที่สหภาพแรงงานถูกจัดตั้งขึ้น บริษัทพยายามตอบโต้โดยการเรียกผู้นำสหภาพฯ เข้าพบเพื่อกดดันให้เปิดเผยรายชื่อสมาชิกและยุบสหภาพฯ พร้อมทั้งจัดการประชุมลับกับคนงานต่างชาติเพื่อห้ามไม่ให้เข้าร่วมสหภาพฯ โดยยึดโทรศัพท์มือถือระหว่างการประชุม และกล่าวหาว่าคนงานถูกชักจูงจาก "กองกำลังภายนอก" การกระทำของบริษัทในการขัดขวางสหภาพฯ การเลิกจ้างแรงงานต่างชาติที่ตั้งครรภ์ และการจำกัดเสรีภาพในการเคลื่อนไหว ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งกรมแรงงานไทเปใหม่ได้แจ้งเตือนบริษัทให้แก้ไขการละเมิดเหล่านี้แล้ว โดยอาจเผชิญกับการลงโทษหากปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม

ที่มา: New Bloom, 11/11/2025 

Tuesday, November 11, 2025

Thailand faces shortfall of 250,000 care workers by 2037, ILO report finds

 


A new ILO study launched to mark International Day for Care and Support projects that Thailand’s demand for home-based care will surge as its population ages. The report calls for greater investment in community care and decent work for national and migrant care workers.

Bangkok (ILO News) — Thailand’s need for home-based care is expected to soar to keep pace with its rapidly ageing population.  A new study by the International Labour Organization (ILO) projects that by 2037, Thailand will need up to 250,000 additional paid care workers, including about 55,000 migrant workers.

The report, Care at home: Projecting Thailand’s need for national and migrant labour for home-based care for older persons, finds that as family structures change and traditional unpaid family caregiving declines, the demand for paid home-based care is set to rise by at minimum 70 per cent in the next 12 years.

Thailand’s policy to promote “ageing in place” means most older persons will continue to live in their homes rather than in institutions. Yet, many families cannot afford to pay for private care. The study warns that without public investment, large care gaps will persist, especially among low-income households.

Paid care in Thailand is currently provided by nurses, community volunteers and domestic workers, many of whom are migrants. The report notes that migrant workers already make up a growing share of home-based care workers, and their role is expected to expand as the Thai workforce ages and fewer young people enter care occupations.

To meet the growing demand, the ILO calls for greater investment in the care economy that ensures access to affordable home-based and community care services and promotes decent working conditions for care workers in line with Ministerial Regulation No 15 (B.E 2567), promulgated pursuant to the Labour Protection Act B.E 2541 (A.D. 1998), on domestic worker protection. The report also encourages the promotion of regular and fair migration pathways for care workers and the recognition and upgrading of care-related skills, both for national and migrant workers. Strengthening health literacy, expanding community care systems and investing in technologies such as telehealth and assistive devices could also significantly reduce Thailand’s projected care gap, potentially lowering the need for additional care workers to fewer than 100,000.

“This study makes clear that Thailand’s ageing-at-home approach can only succeed if care work is recognized, protected and valued as skilled work,” said Xiaoyan Qian, ILO Country Director for Thailand, Cambodia and Lao People Democratic Republic. “By investing in decent work for care workers, both national and migrant workers, Thailand can build a sustainable, equitable care system that benefits families, communities and the national economy.”

The report has been produced by the ILO’s TRIANGLE in ASEAN programme, supported by the Australian Government Department of Foreign Affairs and Trade and Global Affairs Canada. It provides evidence to inform Thailand’s policies on ageing, labour migration and the care economy, in line with the 2024 ILO Resolution concerning decent work and the care economy.

Monday, November 10, 2025

ครูญี่ปุ่นเผชิญวิกฤตหนัก ทำงานหนักสุดใน OECD สหภาพฯ เร่งเรียกร้องเพิ่มงบประมาณการศึกษาของรัฐ

สหภาพครูแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan Teachers’ Union - JTU) ได้จัดประชุมหารือร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการศึกษา เพื่อประเมินสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงจากผลสำรวจ TALIS 2024 ซึ่งเผยว่าครูในประเทศกำลังเผชิญกับสภาพการทำงานที่ยากลำบาก โดยเฉพาะ ภาระงานที่หนักเกินไป ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตขาดแคลนครูในญี่ปุ่น เลขาธิการใหญ่ขององค์กร Education International ระบุว่า ครูต้องการเวลา เครื่องมือ และความเชื่อมั่น เพื่อให้สามารถทำหน้าที่เพื่อเด็ก ๆ ในประเทศญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่

ผลสำรวจ TALIS 2024 ชี้ว่า ครูญี่ปุ่นทำงานเกิน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าสูงกว่าครูในประเทศอื่น ๆ ที่เป็นสมาชิกขององค์กร OECD โดยแหล่งที่มาของความเครียดส่วนใหญ่มาจากภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน เช่น งานธุรการที่มากเกินไป (ร้อยละ 63) การจัดการข้อกังวลจากผู้ปกครอง (ร้อยละ 56) และการปรับตัวให้ทันกับข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลงจากทางการ (ร้อยละ 43)

ในแง่ของความพึงพอใจในงาน พบว่า มีเพียงร้อยละ 79 ของครูญี่ปุ่นที่พึงพอใจในงานโดยรวม ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ร้อยละ 89 นอกจากนี้ ความพึงพอใจในเรื่อง เงินเดือน และ เงื่อนไขการจ้างงาน ก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ ร้อยละ 20 ของครูอายุต่ำกว่า 30 ปี ตั้งใจจะลาออกจากอาชีพภายในห้าปีข้างหน้า พร้อมกับจำนวนการลาป่วยด้วยปัญหาสุขภาพจิตที่สูงเป็นประวัติการณ์ ประธานสหภาพครูฯ จึงเน้นย้ำว่า โรงเรียนในปัจจุบันเป็นระบบที่ไม่ยั่งยืน

สหภาพฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ดำเนินการทันที ได้แก่ การลดภาระงาน การเพิ่มจำนวนพนักงาน และการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนพิเศษ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ เพิ่มงบประมาณการศึกษาของรัฐ ผ่านแคมเปญ "Go Public! Fund Education" โดยปัจจุบันญี่ปุ่นจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษาน้อยกว่าร้อยละ 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งยังห่างไกลจากมาตรฐานสากลที่แนะนำที่ร้อยละ 6 สหภาพฯ เน้นย้ำว่า ครูต้องการสภาพการทำงานที่ดี เพื่อให้สามารถรับประกันคุณภาพการศึกษา และจะมุ่งมั่นขยายอิทธิพลทางการเมืองของสหภาพแรงงานเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

ที่มา: Education International, 10/11/2025 

พนักงานศูนย์ฟอกไต 15 แห่งในแคลิฟอร์เนีย โหวตหยุดงานประท้วง หลังเจรจาสัญญาไม่คืบ

พนักงานดูแลผู้ป่วยฟอกไตในคลินิก Satellite Healthcare จำนวน 15 แห่งทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ลงมติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง ร้อยละ 98 ให้มีการอนุญาตหยุดงานประท้วง เนื่องจากบริษัทมีพฤติกรรมที่ไม่เป็นธรรมต่อแรงงานอย่างต่อเนื่อง และไม่มีความคืบหน้าในการทำสัญญาจ้างฉบับแรก

เกือบ 3 ปีหลังจากที่คนงานลงมติจัดตั้งสหภาพแรงงานในเดือนธันวาคม 2025 ผู้ดูแลผู้ป่วยระบุว่า บริษัทยังคงล้มเหลวในการแก้ไขปัญหา ขาดแคลนพนักงาน และสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย การลงมติครั้งนี้สะท้อนถึงความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นในหมู่พนักงานแนวหน้า ซึ่งรายงานว่าต้องทำงานหนักเกินไปและได้รับค่าจ้างต่ำ ในขณะที่ความต้องการของผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คนทำงานกล่าวว่าพวกเขาไม่ต้องการประท้วง แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากหลายคนต้องทำงานถึง 2 แห่งหรือทำงานล่วงเวลาติดต่อกัน 15-16 ชั่วโมง เพื่อให้สามารถจ่ายบิลหรือชดเชยการขาดแคลนพนักงานในคลินิก ซึ่งถือว่า ไม่ปลอดภัยต่อทั้งตัวคนงานและผู้ป่วย พวกเขาจึงเรียกร้องให้มีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการทำงานและการดูแลผู้ป่วย เพื่อให้บริษัทมีความรับผิดชอบ พนักงานดูแลผู้ป่วยเหล่านี้ ซึ่งประกอบด้วยพยาบาล ช่างเทคนิค นักโภชนาการ นักสังคมสงเคราะห์ และเจ้าหน้าที่ธุรการ อยู่ภายใต้การดูแลของสหภาพแรงงานดูแลสุขภาพแห่งสหรัฐอเมริกา (SEIU-United Healthcare Workers West - SEIU-UHW)

ทางสหภาพฯ ชี้ว่า การที่บริษัทปฏิเสธที่จะเจรจาอย่างจริงใจ และการ ตอบโต้คุกคาม ต่อผู้สนับสนุนสหภาพฯ อย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้การเจรจาสัญญาที่เป็นธรรมต้องหยุดชะงัก ผู้นำองค์กรแรงงานระดับโลกกล่าวว่า การเรียกร้องให้มีค่าจ้างที่ยุติธรรมและการจัดสรรบุคลากรที่ปลอดภัยถือเป็นการเรียกร้องเพื่อการดูแลผู้ป่วยที่ดีขึ้นด้วย ปัจจุบัน คนงานกำลังเรียกร้องให้บริษัทกลับมาเจรจาเพื่อบรรลุข้อตกลงที่รับประกันความปลอดภัยของบุคลากร ค่าจ้างที่เป็นธรรม และการเคารพสิทธิของผู้ดูแลผู้ป่วย

ที่มา: UNI Global Union, 10/11/2025 

Sunday, November 9, 2025

คนโปรตุเกสประท้วงใหญ่ ค้านรัฐบาลปรับแก้ กม. แรงงาน หวั่นทำลายสิทธิแรงงาน

ประชาชนหลายหมื่นคนได้ออกมาชุมนุมประท้วงในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส  เพื่อต่อต้านแผนของรัฐบาลสายกลาง-ขวาที่จะยกเครื่องกฎหมายแรงงาน ซึ่งสหภาพแรงงานระบุว่าเป็นการ บ่อนทำลายสิทธิของคนงาน และเรียกร้องให้มีการขึ้นค่าแรง สหภาพแรงงาน CGTP สหภาพแรงงานที่ใหญ่ที่สุดของโปรตุเกส ซึ่งเป็นผู้จัดการประท้วง กล่าวหารัฐบาลว่าเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ ในขณะที่คนงานรายได้น้อยต้องดิ้นรนกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น

รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติร่างกฎหมายเพื่อแก้ไขประมวลกฎหมายแรงงานเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อ ส่งเสริมความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ผู้ชุมนุมต่างมองว่าการปฏิรูปแรงงานดังกล่าวเป็น "การถอยหลังอย่างชัดเจน" ในเงื่อนไขการทำงาน และอาจนำไปสู่การขาดความมั่นคงในการทำงานโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนหนุ่มสาวที่มีงานที่ไม่มั่นคงและมีค่าแรงต่ำ

ภายใต้แผนการเปลี่ยนแปลงที่เสนอ จะทำให้นายจ้างสามารถ เลิกจ้างคนงานด้วยเหตุผลอันสมควรได้ง่ายขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องแสดงหลักฐานตามคำขอของคนงานอีกต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการผ่อนคลายข้อจำกัดในการจ้างงานภายนอก (Outsourcing) และอนุญาตให้บริษัทต่าง ๆ สามารถสร้าง "ธนาคารเวลาส่วนบุคคล" ซึ่งทำให้พนักงานสามารถทำงานล่วงเวลาได้สูงสุดถึงสองชั่วโมงต่อวัน โดยมีเพดานที่ 150 ชั่วโมงต่อปี ร่างกฎหมายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะผ่านการอนุมัติในรัฐสภาด้วยการสนับสนุนจากพรรคขวาจัด

โปรตุเกสถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรปตะวันตก โดยข้อมูลทางการแสดงให้เห็นว่าปีที่ผ่านมาคนงานกว่าร้อยละ 50 มีรายได้น้อยกว่า 1,000 ยูโรต่อเดือน ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 870 ยูโร ซึ่งต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในสหภาพยุโรป

ที่มา: Sight Magazine, 9/11/2025

Saturday, November 8, 2025

พนักงานมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย 8.6 หมื่นคนนัดหยุดงานประท้วงครั้งประวัติศาสตร์

คนทำงานในระบบการแพทย์และพยาบาลของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (University of California - UC) กว่า 86,000 คน จากสามสหภาพแรงงานหลักได้ประกาศแผนการหยุดงานประท้วงทั่วทั้งรัฐเป็นเวลา 2 วัน คือในวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2025 การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย

การหยุดงานเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สัญญาจ้างของคนงานหมดอายุลง และทางระบบ UC กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงินอย่างหนัก แต่ทางสหภาพแรงงานกล่าวหาว่า UC เพิกเฉยต่อการเรียกร้องให้ ปรับสัญญาเพื่อแก้ไขวิกฤตค่าครองชีพ ที่ส่งผลกระทบต่อคนงานระดับปฏิบัติการมากที่สุด โดยเน้นย้ำถึงการที่ฝ่ายบริหารจัดสรรเงินจำนวนมากเพื่อซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ และขึ้นเงินเดือนให้กับผู้บริหารระดับสูงอย่างฟุ่มเฟือย แต่กลับไม่เสนอค่าจ้างที่เพียงพอให้พนักงานแนวหน้าสามารถจ่ายค่าเช่าและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้

ประเด็นสำคัญที่สหภาพแรงงานต้องการผลักดันคือการยุติปัญหา การขาดแคลนพนักงาน และการลดทรัพยากร ซึ่งส่งผลให้เกิดการใช้ "เตียงเงา" (การเพิ่มเตียงในห้องที่ไม่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ป่วยมากกว่าหนึ่งราย) และการรอคอยในห้องฉุกเฉินที่ยาวนาน ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่ฝ่ายบริหารให้ความสำคัญกับการผ่าตัดที่ทำกำไรมากกว่า อย่างไรก็ตาม ทางมหาวิทยาลัยได้ออกแถลงการณ์แสดงความผิดหวังต่อการตัดสินใจของผู้นำสหภาพแรงงาน โดยกล่าวว่าข้อเรียกร้องด้านค่าจ้างและสวัสดิการนั้น ไม่สมเหตุสมผล และจะทำให้มหาวิทยาลัยประสบปัญหาทางการเงิน พร้อมยืนยันว่าถึงแม้จะมีการหยุดงานเกิดขึ้น โรงพยาบาลและคลินิกในเครือจะยังคงเปิดให้บริการ โดยมีแผนรองรับเพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย แม้ว่าการนัดหมายและการรักษาบางอย่างอาจต้องล่าช้าออกไป

ที่มา: East Bay Times, 8/11/2025 

Friday, November 7, 2025

คนงานแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลเหนือเสี่ยงตกงาน ถูกสั่งลดน้ำหนักเพื่อความปลอดภัยในการกู้ภัย

องค์กรพลังงานนอกชายฝั่งแห่งสหราชอาณาจักร (Offshore Energies UK - OEUK) ประกาศนโยบายใหม่ที่กำหนดให้ คนงานน้ำหนักไม่เกิน 124.7 กิโลกรัม จึงจะได้รับอนุญาตให้บินไปยังแท่นขุดเจาะน้ำมันในทะเลเหนือได้ โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2026 เป็นต้นไป การกำหนดน้ำหนักสูงสุดนี้มีจุดประสงค์ด้านความปลอดภัยโดยตรง เนื่องจากสำนักงานยามชายฝั่งได้แจ้งเตือนว่า กว้านกู้ภัย ของเฮลิคอปเตอร์กู้ภัย ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญยามเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่สามารถยกน้ำหนักเกินขีดจำกัดที่ปลอดภัยได้ โดยน้ำหนักสูงสุดที่กว้านสามารถยกได้คือ 249 กิโลกรัม ซึ่งรวมน้ำหนักของเจ้าหน้าที่กู้ภัย เปล และอุปกรณ์อื่น ๆ เข้าไปด้วยแล้ว

จากข้อมูลขององค์กร พบว่าปัจจุบันมีคนงานกว่า 2,200 คน ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ซึ่งเฉลี่ยแล้วน้ำหนักตัวของคนงานนอกชายฝั่งเพิ่มขึ้นเกือบ 10 กิโลกรัมตั้งแต่ปี 2007 นโยบายนี้เกิดขึ้นหลังจากการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมตลอดระยะเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา และเป็นไปตามกฎเดิมที่เคยกำหนดเกณฑ์ความกว้างของไหล่เพื่อความปลอดภัยในการหนีออกจากเฮลิคอปเตอร์ฉุกเฉิน ผู้จัดการด้านสุขภาพและความปลอดภัยขององค์กรแสดงความหวังว่าจะไม่นำไปสู่การเลิกจ้าง แต่ก็ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปได้ทั้งหมด โดยระบุว่าการสูญเสียงานถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ยืนยันว่านายจ้างมีหน้าที่ต้องสนับสนุนคนงานให้ลดน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม สหภาพแรงงานแสดงความกังวลและเรียกร้องให้มีการสนับสนุนเป็นพิเศษแก่คนงานที่มีโครงสร้างร่างกายใหญ่ตามธรรมชาติ และบางรายที่ยังมีสุขภาพดีเยี่ยมแต่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้

ที่มา: BBC, 7/11/2025 

คนงานก่อสร้างสนาม Camp Nou ประท้วง สโมสร Barcelona เมินเฉยต่อการละเมิดสิทธิ์-เสี่ยงถูกเนรเทศ

สโมสรฟุตบอล Barcelona เผชิญกับแรงกดดันอย่างหนัก หลังคนงานก่อสร้างสนาม Camp Nou เกือบ 50 คน ซึ่งเป็นแรงงานต่างชาติที่ไม่มีเอกสารการทำงาน ได้รวมตัวประท้วงต่อต้านการถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม และการถูกส่งกลับประเทศโดยไม่มีการรับประกันใด ๆ การประท้วงที่นำโดยสหภาพแรงงานสเปนเกิดขึ้นก่อนกำหนดการเปิดใช้งานสนาม ที่ขายบัตรเข้าชมเต็มแล้วเพียงไม่กี่สัปดาห์ ทำให้เกิดข้อสงสัยถึงความรับผิดชอบทางจริยธรรมของสโมสร

สหภาพแรงงานกล่าวหาว่าผู้รับเหมาพยายามจะเนรเทศคนงานต่างชาติเหล่านี้กลับประเทศโดยที่พวกเขาจะไม่สามารถปกป้องสิทธิ์ของตนเองได้ พร้อมระบุว่าคนงานจำนวนมากต้องทนทำงานภายใต้ เงื่อนไขที่รุนแรง คือทำงานวันละ 12 ชั่วโมง เจ็ดวันต่อสัปดาห์มานานกว่า 1 ปี และถูกไล่ออกโดยไม่ได้รับค่าชดเชยที่ยุติธรรม สหภาพแรงงานได้กล่าวหาสโมสรว่า "หูทวนลม" ต่อการเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เข้ามาจัดการแก้ไขสถานการณ์นี้ แม้จะมีการแจ้งเรื่องไปยังหน่วยงานตรวจสอบแรงงานแล้วก็ตาม โดยยืนยันว่าการเปิดสนามใหม่ไม่ควรแลกมาด้วยการละเมิดสิทธิ์ของคนงาน

แม้ว่ารองประธานสโมสรจะเคยยอมรับว่ามี "ความผิดปกติเล็กน้อย" ในการปฏิบัติงานด้านแรงงาน แต่การประท้วงครั้งล่าสุดนี้ได้พิสูจน์ว่าปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์ระดับโลกของสโมสร ในขณะที่พวกเขากำลังเตรียมต้อนรับแฟน ๆ กลับเข้าสู่บ้านอันเก่าแก่ การดำเนินการแก้ไขข้อพิพาทนี้และการตอบสนองของรัฐบาลจึงเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากความขัดแย้งอาจส่งผลให้กำหนดการกลับมาใช้งานสนามแห่งใหม่ต้องล่าช้าออกไปอีก ซึ่งเป็นการเพิ่มปัญหาความล่าช้าและค่าใช้จ่ายที่บานปลายให้กับโครงการพัฒนาครั้งใหญ่นี้

ที่มา: Goal, 7/11/2025  

Thursday, November 6, 2025

แคนาดาจำกัดแรงงานต่างชาติชั่วคราว ทำธุรกิจขนาดเล็กเดือดร้อน

สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งแคนาดา (Canadian Federation of Independent Business - CFIB) ได้ออกรายงานล่าสุดเพื่อคัดค้านสิ่งที่เรียกว่าเป็น "ข้อมูลที่ผิดพลาด" เกี่ยวกับโครงการแรงงานต่างชาติชั่วคราว (Canada’s Temporary Foreign Worker Program - TFWP) โดยระบุว่าการจำกัดสิทธิ์ใหม่ของรัฐบาลกลางกำลังทำให้ธุรกิจขนาดเล็กประสบปัญหาในการอยู่รอด ท่ามกลางภาวะขาดแคลนแรงงานเรื้อรัง

รายงานดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า โครงการ TFWP คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่า ร้อยละ 1 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของแคนาดาเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นประเด็นทางการเมืองที่ถูกโจมตี องค์กรได้โต้แย้งความเชื่อผิด ๆ 5 ประการ เช่น การกล่าวอ้างว่านายจ้าง "เสพติด" การจ้างแรงงานต่างชาติ หรือแรงงานเหล่านี้แย่งงานคนแคนาดา

CFIB ระบุว่า การที่รัฐบาลกำหนดเพดานให้ตำแหน่งงานค่าแรงต่ำสามารถจ้างแรงงานต่างชาติได้เพียง ร้อยละ 10 และจำกัดการรับสมัครในพื้นที่ที่มีอัตราการว่างงานสูงกว่าร้อยละ 6 นั้น ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจขนาดเล็ก โดยกว่า ร้อยละ 52 ของเจ้าของธุรกิจที่ใช้โครงการนี้กล่าวว่า การเข้าถึงแรงงานต่างชาติช่วยให้พวกเขารักษาตำแหน่งงานของคนแคนาดาไว้ได้ และเกือบ ร้อยละ 74 เตือนว่าจะเป็นเรื่อง "ยากมาก" ที่จะหาคนแคนาดามาแทนที่แรงงานเหล่านี้ได้

ทางสหพันธ์เน้นย้ำว่า การยกเลิกหรือจำกัดโครงการจะไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในประเทศได้ แต่ควรใช้แนวทางที่ยั่งยืนและคำนึงถึงความเป็นจริงของธุรกิจขนาดเล็ก องค์กรจึงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมาตรการจำกัด โดยควรให้โอกาสนายจ้างในการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการจ้างงาน และพิจารณาสร้างเส้นทางสู่การพำนักถาวรให้กับแรงงานต่างชาติชั่วคราวที่มีทักษะต่ำที่ปฏิบัติตามกฎหมายและเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ

ที่มา: Prince Albert Daily Herald, 6/11/2025 


สหภาพแรงงานโรมาเนียได้ข้อตกลงร่วมระดับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยฉบับแรกสำเร็จ

สหพันธ์สหภาพแรงงานในอุตสาหกรรมการเงินของโรมาเนีย (Federation of Trade Unions in the Financial Industry - FSIF) ได้ลงนามใน ข้อตกลงร่วมระดับภาคอุตสาหกรรมฉบับแรก ที่ครอบคลุมพนักงานทุกคนในภาคประกันภัยของประเทศ ซึ่งเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่สานต่อจากข้อตกลงในภาคธนาคารเมื่อปีก่อนหน้า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อนของการเจรจาแรงงาน เนื่องจากสภาไตรภาคีแห่งชาติที่รับผิดชอบการอนุมัติข้อตกลงไม่ได้มีการประชุมมานานกว่าหกเดือนจากปัญหาความไม่สงบทางการเมือง

ด้วยการดำเนินการที่เข้มแข็งและเป็นหนึ่งเดียวกันของสมาชิกสหภาพแรงงาน รวมถึงการเดินขบวนทั่วประเทศของสมาชิกกว่า 20,000 คน ต่อหน้าอาคารรัฐบาล สภาฯ จึงได้จัดการประชุมและอนุมัติข้อตกลงนี้ได้ในที่สุด โดยขณะนี้ข้อตกลงอยู่ระหว่างการรอการประกาศใช้เป็นมติของรัฐบาลเพื่อให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายอย่างสมบูรณ์

ข้อตกลงร่วมฉบับใหม่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากจะกำหนด เงื่อนไขการทำงานขั้นต่ำ ที่ดีขึ้น, เพิ่ม การคุ้มครองงาน และยกระดับมาตรฐานด้านการฝึกอบรมและความเท่าเทียมให้กับพนักงานหลายพันคนในอุตสาหกรรมประกันภัย เนื่องจากข้อตกลงถูกออกแบบมาให้มีผลบังคับใช้กับ ทุกบริษัท ในภาคอุตสาหกรรม จึงเป็นการยกระดับมาตรฐานการจ้างงานทั่วทั้งภาคส่วน เพื่อรับประกันการปฏิบัติที่เป็นธรรมและสภาพการทำงานที่คาดการณ์ได้ ผู้แทนองค์กรแรงงานระดับยุโรปกล่าวว่า ความสำเร็จนี้เป็น สัญญาณที่ชัดเจน ว่า การเจรจาต่อรองร่วมใช้ได้ผลจริง แม้ในสถานการณ์ทางการเมืองที่ท้าทาย และถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับภูมิภาคยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ที่ซึ่งการเจรจาต่อรองร่วมในภาคเอกชนยังไม่พัฒนาเต็มที่

ที่มา: UNI Global Union, 6/11/2025 

Wednesday, November 5, 2025

คนทำงานแอฟริกาใต้สูญเสียค่าจ้าง 133 ล้านแรนด์ จากการประท้วง 114 ครั้งในปี 2024

กระทรวงการจ้างงานและแรงงานของแอฟริกาใต้เปิดเผยรายงานประจำปี 2024 ว่า แรงงานสูญเสียค่าจ้างไปเป็นมูลค่ารวม 133 ล้านแรนด์ จากการนัดหยุดงานรวม 114 ครั้ง ซึ่งลดลงร้อยละ 18.6 เมื่อเทียบกับ 163 ล้านแรนด์ที่สูญเสียไปในปี 2023

ภาพรวมการประท้วงปี 2024 ภาครัฐ มีรายงานการหยุดงานมากกว่าภาคเอกชน โดยชั่วโมงทำงานที่สูญเสียไปในภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากร้อยละ 76.9 ในปี 2023 เป็น ร้อยละ 94.7 ในปี 2024 การหยุดงานในภาค ชุมชน, หน่วยงานท้องถิ่น, และการศึกษา มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของชั่วโมงทำงานที่สูญเสียไปทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมชุมชน (Community Industry) มีชั่วโมงทำงานที่สูญเสียไปถึง 504,139 วัน คิดเป็นร้อยละ 60 ของการสูญเสียทั้งหมด

ส่วนสาเหตุหลัก ข้อพิพาทเรื่อง ค่าจ้าง โบนัส และค่าตอบแทนอื่น ๆ ยังคงเป็นสาเหตุหลักของการประท้วง โดยความต้องการขึ้นค่าจ้างมีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 73.7

ข้อมูลนี้ตอกย้ำความไม่สงบในตลาดแรงงาน เนื่องจากสถิติล่าสุดแสดงให้เห็นว่า แรงงานกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศมีรายได้น้อยกว่า 5,530 แรนด์ต่อเดือน

ที่มา: IOL News, 5/11/2025 

สหภาพแรงงานแอฟริกาหนุน พนง.ธนาคารตูนิเซียประท้วง เรียกร้องค่าจ้างที่เป็นธรรมท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อสูง

องค์กรภูมิภาคแอฟริกาของสมาพันธ์สหภาพแรงงานนานาชาติ (ITUC-Africa) ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างแน่วแน่กับสหภาพแรงงานในภาคธนาคารและการเงินของตูนิเซีย (UGTT) ที่กำลังนัดหยุดงานทั่วประเทศ เพื่อเรียกร้อง ค่าจ้างที่เป็นธรรม และการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่

ITUC-Africa ซึ่งเป็นตัวแทนของแรงงานกว่า 18 ล้านคนจาก 52 ประเทศในแอฟริกา ระบุว่า การหยุดงานเป็นการตอบสนองที่ชอบธรรมต่อปัญหา อัตราเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ มาตรการทางการคลังที่รุนแรง และค่าจ้างที่ซบเซา จนทำให้กำลังซื้อของแรงงานลดลงอย่างหนัก

องค์กรแรงงานระดับทวีปนี้เรียกร้องให้ทางการตูนิเซีย นายจ้างในภาคการเงิน และหน่วยงานกำกับดูแล กลับสู่โต๊ะเจรจาทันที และจัดการกับข้อเรียกร้องของแรงงานด้วยความสุจริตใจ โดยเฉพาะการปรับค่าจ้างเพื่อฟื้นฟูกำลังซื้อ และการเปิดทางให้การเจรจาต่อรองร่วมกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ

ITUC-Africa เตือนว่า รัฐบาลไม่ควรเพิกเฉยต่อสหภาพแรงงาน ซึ่งเคยมีบทบาทในการสร้างเสถียรภาพและประชาธิปไตยในประเทศ โดยเน้นย้ำว่า ความท้าทายทางเศรษฐกิจและการคลังของตูนิเซียที่เผชิญอยู่ ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการ บีบค่าจ้างของแรงงาน แต่ต้องใช้ความยุติธรรมทางสังคม การจ้างงานที่เหมาะสม และกลไกการเจรจาต่อรองที่ทำงานได้จริงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา

ที่มา: Vanguard, 5/11/2025 

Tuesday, November 4, 2025

พนักงานร้านค้าปลีกอังกฤษ 1 ใน 4 ถูกทำร้ายร่างกายในที่ทำงาน อาชญากรรมค้าปลีกพุ่งสูงขึ้น

 


รายงานล่าสุดจาก Retail Trust ระบุว่า พนักงานค้าปลีกในสหราชอาณาจักรถึง 1 ใน 4 (ร้อยละ 25) เคยถูกทำร้ายร่างกายในที่ทำงาน โดยปัญหาอาชญากรรมในภาคค้าปลีกยังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง

เกือบครึ่ง (ร้อยละ 44) ของพนักงานค้าปลีกรายงานว่า พวกเขาถูกทำร้ายหรือล่วงละเมิดทุกสัปดาห์ ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อนหน้า การสำรวจยังพบว่าหนึ่งในสามของชาวอังกฤษเคยเห็นเหตุการณ์ที่ผู้คนแสดงความหยาบคายหรือใช้ถ้อยคำรุนแรงต่อพนักงานร้านค้าในช่วงปีที่ผ่านมา

แม้ผู้ค้าปลีกจะใช้จ่ายไปกว่า 1.8 พันล้านปอนด์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย เช่น ติดตั้งกล้องวงจรปิด จ้างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และกล้องติดตัว แต่ปัญหาการล่วงละเมิดที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของพนักงานอย่างรุนแรง ทำให้เกือบครึ่งหนึ่งของพนักงานกำลังมองหาทางออกจากงาน หรือออกจากอุตสาหกรรมค้าปลีกไปเลย

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การพิจารณากฎหมายที่กำหนดให้การทำร้ายพนักงานร้านค้าเป็นความผิดอาญาเฉพาะจะช่วยให้ตำรวจจัดการกับอาชญากรรมร้ายแรงได้ แต่ไม่สามารถหยุดยั้ง ทัศนคติเชิงลบและความหยาบคาย ที่พนักงานต้องเผชิญในทุกกะการทำงานได้ ปัญหาทัศนคตินี้ถูกมองว่าแย่ลงเนื่องจากผู้บริโภคคุ้นเคยกับการซื้อของออนไลน์มากขึ้น จนทำให้ความคาดหวังต่อการซื้อขายในร้านจริงเปลี่ยนแปลงไป

ที่มา: City AM, 4/11/2025 

เรื่องที่ได้รับความนิยม